เปรียบเทียบ Public Cloud คืออะไร และ Private Cloud คืออะไร ต่างกันอย่างไร?
การทำงานในระดับ IT เป็นเทคโนโลยีที่ทุกองค์กรใช้งานกันเป็นพื้นฐานทั่วไป เช่น คอมพิวเตอร์, ไดร์ฟการเก็บข้อมูล หรือ Cloud ในการทำงานระบบแอปพลิเคชันต่างๆ แต่ด้วยความเป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีเหล่านี้ มีความสำคัญอย่างมากในการทำงานปัจจุบัน โดยเฉพาะ Infrastructure ที่ส่งผลต่อการทำงานโดยตรง ซึ่งอาจทำให้หลายๆคนอาจจะสงสัยว่า Public Cloud คืออะไร และ Private Cloud คืออะไร?
เทคโนโลยีอย่าง Public Cloud และ Private Cloud ที่พูดถึงเป็นอย่างมาก ก็กลายมาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและองค์กรหลายๆ รูปแบบ เช่น เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, อุปกรณ์ IoT, โปรแกรม, ซอฟต์แวร์, ระบบ ERP, AI, Big Data หรือการเก็บข้อมูลของอุตสาหกรรมใหญ่ๆ Cloud Computing ก็เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญต่อองค์กรเป็นอย่างมาก
หลายๆ คนอาจจะยังไม่เห็นภาพการทำงานของ Cloud Computing มากเท่าไหร่นัก โดยจะยกตัวอย่างง่ายของคลาวด์ เช่น การเก็บไฟล์ภาพในโทรศัพท์ Smartphone, การเก็บข้อมูลแอปพลิเคชันบนคลาวด์ หรือ การฝากไฟล์งานต่างๆ ที่ผู้คนใช้กันทั่วไป ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบ Cloud Computing เพียงแต่ในเชิงของเทคโนโลยีแล้ว การใช้งาน Cloud มีรายละเอียดมากกว่าในมุมมองของผู้ใช้งาน โดยเราจะไปทำความเข้าใจกันว่า Cloud Computing มีรายละเอียดที่เข้าใจง่ายๆ ว่าอย่างไรบ้าง
Cloud Computing คืออะไร?
Cloud Computing คือ เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ที่สามารถประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลได้ผ่านออนไลน์ เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์เครื่องขนาดใหญ่ที่มีทั้งระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงการจัดการด้านฮาร์ดแวร์ เช่น การบำรุงรักษา, การเสื่อมสภาพ, การอัปเดตซอฟต์แวร์ หรือ การจัดการเชิงเทคนิค เป็นต้น
Cloud Computing สามารถแบ่งประเภทการทำงานได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
-
Infrastructure-as-a-Service (IaaS)
เป็นระบบที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ครบถ้วน คล้ายกับระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่หรือเซิร์ฟเวอร์ โดยมีหน่วยการประมวลผล ระบบจัดเก็บข้อมูล และเครือข่ายเชื่อมต่อที่มีความปลอดภัย ทำให้ผู้ใช้งานสามารถต่อยอดการทำงานได้มากกว่าจากทรัพยากรด้าน IT ที่มี เช่น ระบบเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, Big Data หรือ AI เป็นต้น
-
Platform-as-a-Service (PaaS)
เป็นระบบที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและมีการติดตั้งซอฟต์แวร์สำหรับการใช้งานที่สะดวกเพิ่มมากขึ้น โดยซอฟต์แวร์ในการใช้งานจะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการที่จะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลเรื่องฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการใช้งาน เนื่องจากมีการจัดเตรียม Infrastructure และแอปพลิเคชันไว้เรียบร้อยแล้ว
-
Software-as-a-Service (SaaS)
เป็นระบบที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและมีการติดตั้งซอฟต์แวร์สำหรับการใช้งานที่สะดวกเพิ่มมากขึ้น โดยซอฟต์แวร์ในการใช้งานจะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการที่จะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลเรื่องฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการใช้งาน เนื่องจากมีการจัดเตรียม Infrastructure และแอปพลิเคชันไว้เรียบร้อยแล้ว
สรุป Cloud Computing ก็คือ บริการด้าน IT ที่เปรียบเสมือนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ที่มีการติดตั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไว้ให้สำหรับผู้ใช้บริการที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้งานคลาวด์ได้หลากหลายรูปแบบนั่นเอง โดย Cloud ยังสามารถแบ่งออกเป็น Public Cloud และ Private Cloud ได้อีกด้วย
Cloud Computing สามารถแบ่งรูปแบบการใช้งานได้ 3 รูปแบบ
Public Cloud, Private Cloud และ Hybrid Cloud โดยจะมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
-
Public Cloud คือ
ระบบการประมวลผลหรือการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานที่ถูกจัดเก็บบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์แบบสาธารณะ อธิบายก็เปรียบเสมือนในมุมของผู้ให้บริการจะมีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานแบบสาธารณะไว้ในเซิร์ฟเวอร์เดียวกัน แต่ผู้ใช้งานจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของคนอื่นได้ หากไม่ได้รับอนุญาต โดยจะมีความปลอดภัยในการใช้งานระดับหนึ่ง โดยการใช้งาน Public Cloud จะมีข้อดีเป็นการใช้งานที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว มีการใช้งานที่แพร่หลาย ทำให้สามารถทำงานร่วมกับผู้ใช้งานอื่นๆ ได้อย่างสะดวกมากขึ้น
-
Private Cloud คือ
ระบบการประมวลผลหรือการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานที่ถูกจัดเก็บบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์แบบส่วนตัว ทำให้ผู้ใช้งานที่ต้องการการใช้งานคลาวด์ที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ผู้ใช้งานสามารถกำหนดค่าต่างๆ ได้อย่างอิสระ รวมถึงความปลอดภัยที่มีการป้องกันและการเข้าถึงที่ยากกว่า จึงทำให้เรื่องของการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลนั้นมีสูงกว่าแบบ Public Cloud นั่นเอง
-
Hybrid Cloud คือ
ระบบคลาวด์ที่ใช้งานร่วมกันระหว่าง Public Cloud และ Private Cloud ทำให้องค์กรที่ต้องการบริหารจัดการระบบแอปพลิเคชันเป็นทั้งส่วนสาธารณะและส่วนตัว เพื่อให้มีการทำงานที่คล่องตัวมากกว่าและปลอดภัยกว่า ก็จะเป็นการใช้งาน Cloud Computing ที่ได้รับประสิทธิภาพการทำงานสูงที่สุด
คงพอเห็นภาพกันมากขึ้นแล้วสำหรับ Public Cloud คืออะไร และ Private Cloud คืออะไร ต่างกันอย่างไรบ้าง มาดูจุดเด่นของ Cloud แต่ละรูปแบบกันว่า มีจุดเด่นอะไรกันบ้าง
จุดเด่นของ Public Cloud คือ
- ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเช่น การติดตั้ง, การดูแล, การบำรุงรักษา, การเปลี่ยนอุปกรณ์ เป็นต้น เมื่อเทียบกับการซื้ออุปกรณ์เองนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก
- สามารถเพิ่ม-ลดทรัพยากรการใช้งาน Cloud ได้ตามที่ต้องการและทันที ผ่านการสั่งงานบนแพลตฟอร์มใช้งาน
- ลดระยะเวลา Downtime หรือปัญหาระบบล่ม เนื่องจากมีมาตรฐานการรับรองจากผู้ให้บริการ เช่น ISO/IEC, SLA เป็นต้น
- ใช้งานง่ายดายเนื่องจากมีการออกแบบเพื่อให้ควบคุมการทำงานที่สะดวกและมีการสอนใช้งาน รวมถึงมีเจ้าหน้าที่คอมช่วยเหลือ
- มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกตลอด 24×7
- สามารถใช้งานได้ผ่านออนไลน์จากทุกที่ทุกเวลา
- Self Service สามารถบริหารจัดการทรัพยากรทั้งหมดขององค์กรได้ด้วยตนเองผ่านการควบคุมบน Platform
จุดเด่นของ Private Cloud คือ
- สามารถควบคุมระบบการเข้าถึงและความปลอดภัยได้อย่างอิสระ
- มั่นใจได้ว่าข้อมูลมีความปลอดภัยเนื่องจากระบบ Hardware และ Software มีความเป็นส่วนตัวสูง
- ควบคุมต้นทุนการบริการและการดูแลระบบได้ชัดเจนกว่าเนื่องจากผู้ใช้งานสามารถกำหนดการบริหารจัดการได้ชัดเจนมากกว่า
- ลดปัญหาการเชื่อมต่อและลด Latency หรือระยะเวลาการตอบสนองลงได้มากกว่า โดย Bandwidth ในการใช้งานก็มีความเป็นส่วนตัวอีกด้วย
- องค์กรสามารถบริหารจัดการทรัพยากรทั้งหมดได้ด้วยตนเองผ่านการควบคุมบน Platform
จุดเด่นของ Hybrid Cloud คือ
- ลดต้นทุกบางส่วนในการจัดการให้น้อยลงเนื่องจากไม่ต้องลงทุนกับ Private Cloud ทั้งหมด
- ลดข้อเสียของการเลือกใช้งาน Public Cloud หรือ Private Cloud
- รวมข้อดีของ Public Cloud และ Private Cloud ทำให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การประยุกต์ใช้งาน Cloud รูปแบบต่างๆ
หลังจากที่เราได้รู้จักกับ Cloud แต่ละรูปแบบ รวมถึงข้อดีของ Cloud แล้ว เรามาลองดูกันว่าการประยุกต์ใช้งาน Cloud รูปแบบต่างๆ จะเป็นอย่างไร? การประยุกต์ใช้งาน Public Cloud คือ การใช้งานภายในองค์กรที่สามารถพัฒนาระบบเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน หรือการใช้งานซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ผู้ให้บริการจัดเตรียมไว้ให้ เช่น Wordpress, Magento, Docker หรือ Gitlab เป็นต้น นอกจากนี้สำหรับผู้พัฒนายังสามารถใช้งาน Public Cloud เพื่อทดสอบระบบการทำงานต่างๆ ภายในองค์กรได้อีกด้วย
มาต่อกันที่การประยุกต์ใช้งาน Private Cloud คือ การใช้งานระบบที่ต้องการความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูลที่สูง เช่น องค์กรภาครัฐ, องค์กรด้านการเงิน หรือ การเก็บฐานข้อมูลของลูกค้าที่ต้องการความปลอดภัยและข้อมูลที่เป็นความลับระดับสูง เป็นต้น
สำหรับการประยุกต์ใช้งาน Hybrid Cloud คือ การใช้งานภายในองค์กรที่ต้องการการใช้งานจากทั้ง Public Cloud และ Private Cloud ซึ่งสามารถตอบโจทย์การทำงานได้มากกว่า ยืดหยุ่นมากกว่า และยังประหยัดต้นทุนได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น นำ Private Cloud มาใช้สำหรับระบบต่างๆ ที่ต้องทำงานกับข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กร และนำ Public Cloud มาใช้เพื่อการ Scale out เมื่อต้องประมวลผลในช่วงที่เกิด Workload Peak time