อ้างอิงจาก Whole cloud forecast ของ International data corporation (IDC) มีการคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายในการใช้บริการคลาวด์จะทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.2024 เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ มีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานโดยใช้บริการคลาวด์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกอบการหลายคนเข้าใจผิดว่าคลาวด์เป็นแค่ที่เก็บข้อมูล และเป็นการใช้งานแบบครั้งเดียวจบ ด้วยความคิดแบบนี้ทำให้ความน่าสนใจในการย้ายข้อมูลขึ้นคลาวด์หมดไปอย่างรวดเร็ว และทำให้หลายองค์กรต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดการข้อมูลและเวลาในการทำงานที่มากเกินความจำเป็น
จากงานวิจัยล่าสุดของ Accenture พบว่า คนที่มองว่าการย้ายขึ้นคลาวด์เป็นแค่การลดต้นทุนเพียงแค่ครั้งเดียว กำลังสูญเสียข้อได้เปรียบทางธุรกิจอย่างมาก เนื่องจากระบบคลาวด์นั้นเป็นมากกว่าโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถปรับขนาดได้ และเป็นการรวมทุกอย่างที่มีความจำเป็นต่อการทำธุรกิจไม่ว่าจะเป็น ข้อมูล คน คู่ค้า กระบวนการและเทคโนโลยีเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ การบริการ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า นอกจากนี้ความยืดหยุ่นของระบบคลาวด์ทำให้ธุรกิจสามารถลองผิดลองถูกในต้นทุนที่ถูกลงได้
ไม่ว่าธุรกิจจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการโยกย้ายขึ้นระบบคลาวด์หรืออยู่ในช่วงที่ทำมาได้สักพักแล้ว การเปลี่ยนกรอบความคิดเพื่อใช้ระบบคลาวด์เป็นสิ่งสำคัญ ก่อนจะย้ายข้อมูลขึ้นคลาวด์ นี่คือหลักการ 4 ข้อที่คุณควรคำนึงถึง
4 ข้อหลักที่คุณต้องคิดก่อนย้ายข้อมูลขึ้นคลาวด์
- รู้ก่อนว่าต้องการใช้คลาวด์เพื่อทำอะไรในองค์กรของคุณ : วิกฤตโควิด 19 ทำให้ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีดูมีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน กลยุทธ์ทางเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางธุรกิจแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้ ดังนั้นการพัฒนากลยุทธ์การใช้คลาวด์ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนก่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญเทียบเท่ากับการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ
- คลาวด์ต้องสนับสนุนและเพิ่มพูนเทคโนโลยีของคุณ : นวัตกรรมใหม่ไม่ควรอยู่อยู่บนบ่าของทีม IT อย่างเดียว องค์กรต้องมีการนำคลาวด์ไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติภายใน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกภาคส่วนขององค์กรสามารถใช้งานได้ โดยพื้นฐานแล้ว การใช้งานระบบคลาวด์ให้มีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนการทำงานภายในองค์กร และคนในองค์กรต้องเข้าใจถึงความต้องการที่ภาคธุรกิจต้องการนำแนวคิดหรือบริการใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด อย่างรวดเร็วที่สุด
- ผลักดันนวัตกรรมเพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า : บริษัทที่ประสบความสำเร็จในการใช้คลาวด์มุ่งเน้นไปที่การใช้คลาวด์เพื่อเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ที่ลูกค้า คู่ค้า และพนักงานได้รับ อย่างไรก็ตามความคาดหวังของลูกค้านั้นสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป้าหมายในการบริการลูกค้าควรมาเป็นอันดับหนึ่ง
- มุ่งมุ่นสู่ระบบคลาวด์ : ผู้นำธุรกิจต้องรับรู้และให้ความรู้แก่พนักงานตลอดกระบวนการปรับใช้คลาวด์ คนในองค์กรต้องมุ่งมั่นที่จะติดตามแนวทางการปฏิบัติและรักษาวัฒนธรรมของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานมาใช้ระบบคลาวด์ คือ บริษัท Carlsberg ในปี พ.ศ.2559 โดยบริษัทผลิตเบียร์นี้ได้เปิดตัวโครงการเพื่อโยกย้ายวิธีการทำงานของตัวเองขึ้นคลาวด์ทั้งหมดแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่นั้นมาบริษัทได้สร้างสรรค์นวัตกรรม “แถบเชื่อมต่อ” (connected bar) ที่ติดตั้งเซนเซอร์ IoT เพื่อวัดปริมาณการบริโภคแบบเรียลไทม์และนำข้อมูลไปทำแคมเปญการตลาดแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังมี“โรงเบียร์อัจฉริยะ” (Smart brewery) ใช้ IoT ระบุปัญหาระหว่างกระบวนการผลิตและออกคำขอบำรุงรักษาโดยอัตโนมัติเมื่อพบปัญหา ด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ทำให้สามารถลดเวลาในการเปิดแคมเปญใหม่ๆ จากที่ต้องใช้เวลาหลายวันเหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ประกอบการหยุดมองว่าการย้ายขึ้นคลาวด์ เป็นโครงการไอทีแบบครั้งเดียวจบ และพร้อมให้ความรู้คนในองค์กรในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีก็จะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าได้ การลงทุนในเทคโนโลยีคลาวด์นั้นให้ผลตอบแทนในอนาคตอย่างแน่นอน จากงานวิจัยล่าสุดของ Accenture พบว่า ผู้นำด้านการปรับตัวเหล่านี้มักตั้งเป้าหมายด้านการดำเนินงานและการเงิน รวมถึงกำหนดเป้าหมายทางธุรกิจเพิ่มขึ้นถึง 50% เช่น การเพิ่มจำนวนลูกค้าและความรวดเร็วในการทำการตลาด อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนลงได้ โดยผู้นำที่ประสบความสำเร็จสามารถลดต้นทุนลง 1.2 เท่าในทวีปอเมริกาเหนือ และ 2.7 เท่าในทวีปยุโรปเมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรที่เน้นแค่การโยกย้ายข้อมูลเป็นหลัก